ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ
![]() |
![]() ประเภทของบั้งไฟ บั้งไฟมี 2 ประเภท ประเภทที่ 1 ได้แก่ บั้งไฟที่ไม่มีหาง เช่นบั้งไฟพุ บั้งไฟพะเนียง บั้งไฟตะไล บั้งไฟดอกไม้ บั้งไฟโครงขาว บั้งไฟม้า ประเภทที่ 2 ได้แก่ บั้งไฟที่มีหาง ซึ่งแบ่งเป็น 4หมวดหมู่ดังนี้ ๑. บั้งไฟน้อย เป็นบั้งไฟที่มีขนาดเล็กบั้งไฟชนิดนี้ถูกนำมาใช้เพื่อเสี่ยงทายดูว่าฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ ถ้าหากว่าบั้งไฟถูกยิงขึ้นไปสูงสุดหมายถึงฝนจะดี ๒. บั้งไฟร้อย เป็นบั้งไฟที่บรรจุดินปืนน้อยกว่า 12 กิโลกรัม ซึ่งได้ถูกสร้าง ขึ้นเพื่อการแข่งขัน ๓. บั้งไฟหมื่น เป็นบั้งไฟที่บรรจุดินปืนระหว่าง 12 – 119 กิโลกรัม ๔. บั้งไฟแสน เป็นบั้งไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งบรรจุดินปืน 120 กิโลกรัม การแห่บั้งไฟ พิธีแห่บั้งไฟเป็นอีกพิธีหนึ่งที่มีความหมายและครึกครื้นที่สุดของประเพณีบุญบั้งไฟ ชาวบ้านจะมารวมตัวกันร้องรำทำเพลงฟ้อนเซิ้งกันไปอย่างสนุกสนานในขบวนบั้งไฟของพวกเขาและแห่ไปยังจุดเป้าหมายเพื่อยิงบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ – พญาคันคาก กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพระยาแถนซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ทรงอิทธิพลที่พำนักอยู่บนสวรรค์และเกลียดชังทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ พระองค์เกลียดชังทุกชีวิตเพราะว่ามวลมนุษย์ไม่เคยมีความพอใจ เมื่อใดที่ฝนตกมนุษย์ก็จะด่าและเมื่อใดที่ฝนแล้งมนุษย์ก็จะด่าอีกเช่นกัน เข้าทำนองที่ว่า ฝนตกก็ฝนแล้งก็ด่า ดังนั้น พระยาแถนจึงได้สั่งฝนไม่ให้ตกลงมาบนโลกมนุษย์อีก เป็นเวลานานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ก่อให้เกิดภัยแห้งแล้งอันรุนแรงมวลมนุษย์ได้รับความทุกข์ทรมานและล้มตายเป็นจำนวนมาก เซิ้งบั้งไฟ ในขณะนั้น พระยาโพธิสาร ซึ่งเป็นเทวดาอีกองค์หนึ่งที่มีอิทธิพล ได้เสด็จลงมายังโลก มนุษย์และกำเนิดเป็นพญาคันคาก ด้วยบุญบารมีที่สั่งสม พระองค์ได้มีอิทธิพลต่อเพื่อนพ้อง ต่างๆ ทุกคนจึงได้ร้องขอให้พระองค์ช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากภัยแห้งแล้ง อันโหดร้ายดังกล่าว พญาคันคากจึงได้เรียกมาชุมนุมกัน เพื่อรวมพลังในการต่อสู้ทั้งมนุษย์และฝูงสัตว์ต่างๆ กับพระยาแถน “มันเป็นวิธีเดียว ที่จะรู้ว่าใครมีพลังอำนาจมากกว่ากัน” พระองค์กล่าวพญานาคนำกองทัพแรก บุกขึ้นไปสู้กับพระยาแถนบนสวรรค์ จนถูกฟันบาดเจ็บหลายรอยจากดาบของกองทัพพระยาแถน เหตุนั้นพญานาคจึงมีหงอนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพที่สองถูกสั่งให้ไปต่อสู้กับพระยาแถน คือ กองทัพของฝูงตัวต่อซึ่งถูกฟันบาดเจ็บด้วยดาบของพระยาแถนจนเกือบเอวขาด ด้วยเหตุดังนั้นตัวต่อจึงมีเอวที่กิ่ว เมื่อมาครั้งที่สาม ฝูงสัตว์ที่ได้รับมอบหมาย ให้พญาคันคากเป็นจอมทัพ โดยพระองค์ได้วางแผนยุทธวิธีรบแบบใหม่เป็นหลายขั้นตอน แห่บั้งไฟ พนมไพร ขั้นตอนแรก คือ การส่งกองทัพด้วงขึ้นไป เพื่อกัดกินก้านอาวุธของกองทัพพระยาแถน เช่น ก้านหอก ก้านดาบต่างๆ ขั้นตอนที่สอง คือ การส่งกองทัพแมงป่อง ขึ้นไปซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าที่ใช้ใส่สู้รบของกองทัพพระยาแถน พร้อมทั้งส่งตะขาบไปซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ กองฟืน มุมอับของห้องครัวของกองทัพ เมื่อพวกเขาเห็นกองทัพพญาคันคากบุกเข้ามาในสวรรค์ กองทหารของพระยาแถนจึงรีบร้อนสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้ารบซึ่งได้ถูกบรรดาแมงป่องที่ซ่อนอยู่ภายในขบกัด เมื่อพวกเขาคว้าเอาอาวุธ ก็พบว่า บรรดาอาวุธสู้รบได้หักพัง เมื่อคว้าหาท่อนฟืน ก็ถูกตะขาบกัด กองทหารของพระยาแถนจึงแตกตื่นและวิ่งหนีอย่างวุ่นวายไปในทิศทางต่างๆ ในขณะนั้น กองทัพของพญาคันคาก จึงได้บุกโจมตีพวกเขาจนปราชัย พระยาแถนได้ถูกบังคับให้ยอมตกลงตามข้อเรียกร้องต่างๆ ดังนี้1. เมื่อพระยาแถนเห็นบั้งไฟยิงขึ้นบนท้องฟ้า ต้องสั่งให้ฝนตกลงมาบนพื้นดิน 2. เมื่อได้ยินเสียงกบและเขียดร้องนั้น หมายความว่าฝนได้ตกลงมาบนพื้นดินโลกมนุษย์แล้ว 3. เมื่อได้ยินเสียงว่าวและขลุ่ย ต้องสั่งให้ฝนหยุดตก ด้วยเหตุนั้น ในทุกๆ เดือนหกชาวลาวจึงได้จัดบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการขอฝน ภายหลังการปักกล้าดำนาแล้ว กล่าวคือเมื่อข้าวสุกเหลืองเต็มทั่วท้องนา จึงมีการปล่อยว่าว เป่าขลุ่ยด้วยความสนุกสนาน ที่มา : วารสารไชโยลาว ฉบับที่ 21 มิถุนายน 2006 ผู้ขียน : สมสนุก มีชัย ผู้แปล : ศุภารัตน์ ชุมตรีนอก/อัมพร ปุญญพัตน์ปีย์วรา |
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น