About

การแห่บั้งไฟ

แห่บุญบั้งไฟ..ประเพณีขอฝนคนอีสาน !



             “ฟ้าเปลี่ยนฝน คนเปลี่ยนทิศ” เป็นเรื่องที่คิดแล้ว..ปวดหัวไม่น้อย คนไทยเราถือว่าอยู่กับความเชื่อ สิ่งสักสิทธิ์และโชคลาง มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ จะให้เปลี่ยนหรือปรับความคิด..คงจะยากและใช้เวลานานมากพอสมควร จนบางอย่างได้กลายมาเป็นประเพณียึดถือ สืบต่อมาให้เห็นเช่นในปัจจุบัน..

         วันนี้มีโอกาส มาเคาะประตู ภาคอีสานตำนานลูกข้าวเหนียว ประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งในช่วงฤดูนี้ เห็นทีคงหนีไม่พ้น “บุญบั้งไฟ”ในภาคอีสานมีประเพณีแห่บั้งไฟในหลายจังหวัดเช่น ยโสธร อุดรธานี ศรีสะเกษ หนองคาย เลย และสกลนคร เป็นต้น เป็นประเพณีที่น่าสนใจและอยู่บนรากฐานของความเชื่อ แต่…ปัจจุบันเริ่มเน้นเงินรางวัลจากการประกวดประชันแข่งขันกันมากกว่า พิธีแห่บั้งไฟโดยเฉพาะคำว่า “บั้ง” แปลว่า “ไม้กระบอก” บั้งไฟเป็นดอกไม้เพลิง โดยการใช้ดินอัดในกระบอกไม้ไผ่ใส่หางแล้วจุดให้พุ่งขึ้นในอากาศเป็นการบวง สรวง “แถน” หมายถึง “พระอิศวร” ซึ่งเป็นมเหศักดิ์หลักบ้านและเทพารักษ์รักษาท้องฟ้า

            อนึ่ง ที่จังหวัดยโสธรได้ทำพิธีจุดบั้งไฟที่ทุ่งพญาแถนถือเป็นประเพณี ทุกวันนี้เมื่อบั้งไฟขึ้นสูงไปแล้วก็จะเสี่ยงทายดังนี้ว่า ฝนฟ้าข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ดี ถ้าบั้งไฟแตกก็หมายความว่า ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล มีความเชื่อแต่กาลก่อนของชาวพื้นเมืองว่า ที่ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลนั้นเป็นอำนาจของแถนบันดาลให้ เป็นไปจึงพร้อมใจกันบวงสรวงแห่บั้งไฟแล้วจุดบั้งไฟให้พุ่งขึ้นไปในอากาศ เพื่อเตือนให้พญาแถนได้ทราบเมื่อพญาแถนเกิดความเมตตาก็จะบันดาลให้ฝนตกลงมา ระยะที่ชาวพื้นเมืองทั่วไปกระทำพิธีดังกล่าวมานี้ตกในราวเดือน 6 
            เช่น ที่ยโสธรกำหนดงานในวันที่ 10 – 11 พฤษภาคม พ.ศ.2529 เป็นต้น บั้งไฟมี 3 ขนาด คือ “บั้งไฟธรรมดา” บรรจุดินดำไม่เกิน 12 กิโลกรัม ขนาดกลางเรียกว่า “บั้งไฟหมื่น” (หนึ่งหมื่นเท่ากับ 12 กิโลกรัม) น้ำหนักดินดำเกิน 12 กิโลกรัมเฉพาะบั้งไฟแสนนี้จะต้องใช้เวลาทำประมาณ 1 เดือนเต็ม ดังกล่าวมาแล้วว่าบุญบั้งไฟกำหนดงานตรงกับเดือน 6 ซึ่งเรียกกันว่า “งานบุญเดือน6″เฉพาะงานบุญเดือน6ของจังหวัดสกลนครหรือตามภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “บุญผะเวส” เมื่อทำบุญนี้ก็มีการฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดก อุปกรณ์ต่างๆจะต้องเตรียมไปทำบุญจุดถวายเป็นพุทธบูชาก็คือ “บั้งไฟหาง” “บั้งไฟดอก” และ “บั้งไฟตะไล” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบั้งไฟเล็ก 
            ในสมัยก่อนประมาณ 30 ปีล่วงมาแล้วพิธีแห่บั้งไฟขนาดใหญ่ถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวพื้นเมืองในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี(ต่อมาได้ยกเป็นจังหวัดยโสธรหลายปีล่วงมาแล้ว)กับอีกบาง จังหวัดดังกล่าวมาแล้วถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของแต่ล่ะหมู่บ้าน โดยก่อนเริ่มงานหมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพจะมีการแจ้งวันงานไปยังลูกบ้านต่างๆ ให้รับทราบ เมื่อถึงวันงานหมู่บ้านที่มาร่วมงานจะต้องตีฆ้องกลองมา ฝ่าย เจ้าภาพจะออกไปต้อนรับและนำไปพักเลี้ยงด้วยสุราอาหารคาวหวาน ตลอดจนถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ที่จะมางานบั้งไฟด้วย 
            แต่ ก่อนที่เจ้าภาพจะต้อนรับแขกเจ้าภาพจะต้องตกลงกันไว้ให้แน่นอนก่อนว่า จะให้หลังคาเรือนใดบ้างเป็นผู้รับรองแขกหมู่บ้านที่ไปร่วมงานนั้น จะเป็นหลายสิบคนต่อหนึ่งบ้านก็ได้ เจ้าภาพจะต้องเตรียมอาหารเลี้ยงหมู่บ้านที่มาช่วยให้อุดมสมบูรณ์มิให้เสีย ชื่อเสียง อนึ่งตามปกติประเพณีแห่บั้งไฟนี้จะกำหนดงานเพียง2วันเท่านั้น คือมีพิธีแห่ 1 วัน และจุดบั้งไฟอีก1 วัน เมื่อทำบุญบั้งไฟเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยกระดาษสี อย่างสวยสดงดงาม เมื่อถึงวันนัดรวมซึ่งตามภาษาของชาวบ้านเรียกกันว่า “วันโฮม” พวกชาวหมู่บ้านต่างๆก็จะแห่บั้งไฟของตนมายังหมู่บ้านที่แจ้งฎีกาไปให้ถึง ก่อนเพลแล้วทำบุญเลี้ยงพระ


            ส่วนบั้งไฟนั้นก็จะแห่ไปที่ ลานวัด เพื่อให้คนกลุ่มใหญ่ได้ชมความสวยงามตลอดจนความยาวของบั้งไฟ โดยเฉพาะที่จุดบั้งไฟต้องทำเป็นพะองพาดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่สูงประมาณ 30 เมตร มีพิธีที่น่าชมอีกอย่างหนึ่งก็คือ “เซิ้ง” การเซิ้งก็คือการรำหมู่ มีหัวหน้าบอกบท ลูกหมู่เป็นลูกคู่ว่าตาม แต่กาลก่อนๆเริ่มเซิ้งกันก่อนวันแห่ 3 -5 การแห่เซิ้งรวมกันทุกหมู่บ้านไปรอบๆหมู่บ้าน และชาวบ้านนั้นๆก็จะต้องต้อนรับริ้วขบวนแห่เซิ้งด้วยเหล้า ในบทเซิ้งประพันธ์เป็นกาพย์จัดเป็นวรรณคดีของภาคอีสานที่ไพเราะมาก ส่วนมากผู้ประพันธ์ถือคติธรรมดาตามหลักพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น เช่น กาพย์พระพุทธเจ้า กาพย์พระพุทธเจ้าตัดเกศ และกาพย์พระพุทธเจ้านิพพาน ฯลฯ อนึ่งการจุดบั้งไฟ ถ้าเป็นบั้งไฟธรรมดาและบั้งไฟหมื่นก็จุดขึ้นไปได้เลย 
            ถ้า เป็นบั้งไฟแสนก็ใช้บั้งไฟขั้นไปจุดชนวน เพราะเกรงจะเป็นอันตรายแก่ผู้จุด ถ้าบั้งไฟแตก ก็จะทายว่าฝนฟ้าแห้งแล้ง แต่ถ้าบั้งไฟขึ้นสูง ก็จะเป็นนิมิตหมายว่าฟ้าฝนในปีนี้จะดีมาก ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ทุกคนก็พากันดีใจ มีการเลี้ยงฉลองรื่นเริงกันในหมู่ผู้ที่ไปร่วมงานกันอย่างเต็มที่ บั้งไฟที่ชนะการประกวดประเภทสวยงามอย่างหนึ่งและที่ชนะการประกวดจุดแล้วพุ่ง ขึ้นไปสูงกว่ากระบอกอื่นๆอนึ่งบั้งไฟที่ชนะเลิศทั้งสองประเภทดังกล่าวมานี้ ภาษาพื้นเมืองพากันเรียกว่า “เอ้บั้งไฟ” การผสมดินดำใส่บั้งไฟ ซึ่งทำจากไม้ไผ่ทะลุปล้องโดยเฉพาะไม้ไผ่ตันผึ่งลมผึ่งแดดให้แห้งเสียก่อน


            ดิน ดำนั้นจะต้องผสมให้ถูกส่วน เมื่อบรรจุใส่ลงในบั้งไฟแล้วจะต้องตำให้แน่นจุดจึงไม่แตก แต่ถ้าตำแรงและกดจนแน่นเกินไปบั้งไฟอาจจะจุดไม่ขึ้นเกิดระเบิดขึ้น ผู้คนจะได้รับอันตราย หมู่บ้านนั้นก็จะได้รับอันตราย หมู่บ้านนั้นก็จะพลอยเสียชื่อเสียง เพราะเป็นเจ้าของบั้งไฟกระบอกนั้น ฉะนั้น ผู้ที่ประดิษฐ์บั้งไฟและบรรจุดินดำลงในบั้งไฟจะต้องเป็นคนมีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์เป็นอย่างมากที่เดียว การแห่บั้งไฟในสมัยก่อนเขาจะใช้เกวียนแห่โดยการนั่งร้านบนเกวียนเรียกว่า “ขาเขียบั้งไฟ”แล้วยกบั้งไฟขึ้นไปวางบนขาเขียนั้น ถ้าบั้งไฟมีมากเขาก็ทำขาเขียหลายลำบนเกวียน สำหรับเช้าวันรุ่งขึ้น ผู้ชายจะนุ่งผ้ายกรั้งโจงกระเบนอย่างสุภาพเรียบร้อยทุกคน ผู้หญิงก็นุ่งซิ่นหมี่ตามประเพณีไปใส่บาตร “หาบกระซ่า” 

              คือ สำรับกับข้าวไปถวายพระพร้อมทั้งเครื่องไทยธรรมด้วย เมื่อเลี้ยงพระเสร็จและฆราวาสในงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลำเลียงบั้งไฟขึ้นบน ต้นไม้สูงประมาณ 30 เมตร การที่ใช้ร้านหรือต้นไม้สูงๆดังกล่าวนี้ มีความประสงค์ที่จะไม่ต้องให้หางของบั้งไฟลากดิน ที่บั้งไฟมีปลอกหวายหรือปลอกหนังสวมกิ่งไม้ซึ่งตัดโยงสายไว้พอทานกับน้ำหนัก ของบั้งไฟ เมื่อเต็มฮ้านแล้วเขาก็จะโยงสายชนวนลงมาตามทางบันได แล้วจัดแยกไปตามหาบบั้งไฟทุกบั้งและที่บันไดเขาจะทำ “กะโพก” คือ ประทัดทำด้วยไม้ไผ่แตกดังเหมือนพลุ เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้แก่ผู้ชมบั้งไฟ ในขณะที่บั้งไฟกำลังจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นอย่างมาก หมายเหตุปิดท้าย 
            ในอดีตเราจะได้ยินว่าหมู่บ้านนั้นหมู่ บ้านนี้ทำบั้งไฟหมื่นขึ้นสุดลูกหูลูกตา สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันงานประเพณียังคงอยู่ แต่ความเชื่อและวัฒนธรรมของงานบุญหายไป กลายไปเป็นการประกวดประชันกัน การวางเดิมพันเงินแสนเงินหมื่น ไม่มีการพูดถึงดอนปู่ตาหรือผีบรรพบุรุษอีกแล้ว เพราะทุกอย่างจัดเพื่อการท่องเที่ยวอย่างบุญบั้งไฟเมืองยโสธรคือ ตัวอย่าง …น่าเสียดายที่ความงามในอดีตเริ่มจะเลือนหายไปจากอีสาน กลายเป็นตำนานให้กล่าวถึงเพียงเท่านั้น ..เที่ยวทะเลกันมาก็บ่อยแล้ว ลองเปลี่ยนบรรยากาศหันมาร่วมสนุกกับชาวอีสานบ้างก็เขาท่าดีนะค่ะ!

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Online Project management